แม่และเด็กทั่วไป

joom May 6, 2021

วันนี้จะมาชวนคุณพ่อคุณแม่ส่งเสริม พัฒนาการด้านภาษา แก่ลูกน้อยวัย  3 – 5 ปี  ให้เขาสามารถสื่อสารทางการพูด  การอ่าน  และการเขียนที่เหมาะสมกับวัยของเขาค่ะ แนะนำการส่งเสริม พัฒนาการด้านภาษา ให้กับลูกวัยเด็กในแต่ละช่วงวัย ส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของลูกวัย  3 – 4  ปี ความสามารถด้านภาษาของเด็กวัยนี้ –  คำพูดของลูกส่วนใหญ่มีความหมาย –  ลูกพูดเป็นประโยคยาวๆ ได้มากขึ้น –  เล่าอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้  เด็กบางคนอาจเล่านิทานเป็นตุเป็นตะก็มี สิ่งที่พ่อแม่ต้องส่งเสริม –  กระตุ้นให้ลูกอ่านหนังสือเพื่อฝึกพัฒนาการด้านภาษาและเกิดความใฝ่เรียนใฝ่รู้ –  สอดแทรกความรู้อื่นๆ แก่ลูก  เช่น  ความรู้เรื่องจำนวน  ขนาด  รูปร่าง  สีสัน  เวลา  สิ่งมีชีวิต  –  หมั่นเล่านิทานให้ลูกฟังบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษก็ตาม  ให้ลูกคุ้นชินกับภาษา  วิธีการออกเสียง  สำเนียง  เขาจะเกิดการเรียนรู้และเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว  ไม่รู้สึกว่าถูกกดดันหรือบังคับ    –  การร้องเพลงสั้นๆ สามารถพัฒนาการด้านภาษาของลูกได้ –  การอ่านบทอาขยานสั้นๆ ให้ฟังจนลูกจำได้แล้วให้เขาต่อบท  […]

joom May 4, 2021

ใครบอกว่าของเล่นที่ดีต้องไฮเทค  ต้องราคาแพง  ทั้งที่จริงแล้วของเล่นง่ายๆ ไม่ซับซ้อน  อีกทั้งคุณพ่อคุณแม่ยังสามารถทำให้ลูกน้อยเล่นเองได้ก็คือ แป้งโดว์ มาดูรายละเอียดกันเลยดีกว่า  แป้งโดว์คืออะไร? พูดง่ายๆ ว่าแป้งโดว์ก็คล้ายดินน้ำมันให้ลูกปั้นเล่นเพียงแต่ใช้ส่วนผสมที่แตกต่างกันค่ะ แป้งโดว์เหมาะกับลูกอายุเท่าไร? เหมาะกับลูกน้อยระดับชั้นอนุบาล  อายุประมาณ  3 – 5  ปี แป้งโดว์มีดีอะไร? บอกเลยว่าข้อดีของแป้งโดว์มีเพียบตามนี้… –  เมื่อเทียบกับดินน้ำมันที่ผสมสารเคมีต่างๆ อย่างน้ำมันเครื่อง  พาราฟิน  สีเคมีที่อาจเป็นอันตรายลงไปแล้ว แป้งโดว์เป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพราะใช้ส่วนผสมที่ปลอดภัยในการทำ –  มีข้อดีมากกว่าดินน้ำมันตรงที่แป้งโดว์เนียนนิ่มปั้นง่าย  ไม่เหม็นกลิ่นสารเคมี –  ช่วยฝึกจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เวลาที่ลูกน้อยปั้นสิ่งต่างๆ อย่างอิสระ –  ในการเล่นแป้งโดว์  ลูกจะได้ใช้ทักษะการปั้น  กด  บีบ  อัด  คลึง  ที่ช่วยบริหารกล้ามเนื้อมือให้คล่องแคล่วแข็งแรง  –  ข้อดีของแป้งโดว์อีกอย่างคือช่วยฝึกสมาธิให้ลูกซนๆ สมาธิสั้นๆ มีใจจดจ่อในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น –  เป็นเพื่อนแก้เหงาที่ดี  เวลาที่ลูกต้องอยู่ลำพังเขาจะได้เล่นแป้งโดว์ที่พ่อแม่ทำให้  เหมือนมีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ ค่ะ ทำแป้งโดว์เองนักเลงพอ ส่วนผสมไม่กี่อย่าง 1.  แป้งสาลีอเนกประสงค์  1  ถ้วยตวง 2.  […]

joom April 29, 2021

เด็กในวัยต่าง ๆ มีพัฒนาการทางสมองที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เขามีความคิดและพฤติกรรมแตกต่างกันไปตามวัย หากคุณได้ศึกษา พัฒนาการทางสมองของเด็ก ของแต่ละช่วงวัย ก็จะทำให้คุณเรียนรู้และเข้าใจความเป็นเขามากยิ่งขึ้น ซึ่งย่อมจะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับลูกรักงดงามและยั่งยืน ทำความเข้าใจ พัฒนาการทางสมองของเด็ก ในแต่ละช่วงวัย พัฒนาการทางสมองของเด็กแรกเกิด – 2 ขวบ เด็กวัยนี้จะเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้ดี มีสัมผัสที่ดี และสมองของเขาจะเรียนรู้ด้วยการลองถูกลองผิด ดังนั้นเด็กจึงชอบจับนั่นนี่ไปทั่ว ดังนั้นหากเขาซนจนคุณท้อ ก็ให้คิดเสียว่าเขากำลังใช้สมองน้อย ๆ เรียนรู้ และเมื่อนั้นความฉลาดก็จะค่อย ๆ ตามมา พัฒนาการทางสมองของเด็กวัย 2 ขวบ – 7 ขวบ สมองของเด็กวัยนี้จะเรียนรู้ได้ดีขึ้น มีความสามารถในการเริ่มเรียนรู้ภาษา จึงเป็นวัยที่ควรพูดคุยกับเขาด้วยภาษาที่สองอย่างยิ่ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องส่งเขาไปเรียนโรงเรียนที่สอนสองภาษา แต่ใช้วิธีพูดบ่อย ๆ สมองน้อย ๆ ของเขาก็จะเรียนรู้และจดจำได้เอง นอกจากนี้เขาก็จะเริ่มรู้ถึงเหตุผลง่าย ๆ และเข้าใจเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติด้วย พัฒนาการทางสมองของเด็กวัย  7 ขวบ – 11 ขวบ เด็กวัยนี้ถือว่าโตแล้วสมองจึงสามารถคิดแก้ปัญหาต่าง […]

joom April 27, 2021

พ่อแม่หลายคนไม่ชอบที่เด็กดูการ์ตูน ทั้งในทีวี ในคอม และหนังสือการ์ตูน แต่คุณรู้ไหมว่าการดูการ์ตูนนั้นมีดีกว่าที่คิด หากลูกน้อยได้เลือกดูการ์ตูนที่ถูกแนวก็จะเกิดประโยชน์กับเขามาก ดังนั้นพ่อแม่จึงควรเป็นผู้แนะนำและเลือกแนวการ์ตูนให้ลูก ก็จะทำให้ลูกไม่รู้สึกว่าคุณห้ามเขาไปเสียหมด เขายังได้ดูการ์ตูนที่ชอบ ช่วยให้ผ่อนคลาย ได้ฝึกทักษะการอ่าน เพราะนิสัยรักการอ่านการดู ขณะเดียวกันก็ยังได้สาระจากสิ่งที่ดูด้วย และที่สำคัญคือได้พัฒนาสมองอย่างสม่ำเสมอโดยที่ไม่มีเบื่อเลย วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ แนวการ์ตูนช่วยพัฒนาสมองลูก ให้ทุกท่านได้รู้จักกัน แนะนำ แนวการ์ตูนช่วยพัฒนาสมองลูก ที่พ่อแม่ควรให้ลูกดู -การ์ตูนแนวแฟนตาซีจินตนาการหรือไซไฟ เป็นแนวการ์ตูนช่วยพัฒนาสมองลูกให้มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ-การ์ตูนแนวตลกขบขัน ฮาตลอดเรื่อง เป็นแนวการ์ตูนช่วยพัฒนาสมองลูกและให้เด็กผ่อนคลายความเครียด เหมาะมากสำหรับเด็กโตที่เครียดจากการเรียนมาทั้งวัน -การ์ตูนแนวผจญภัย จะทำให้เด็กตื่นเต้นตื่นตัวตลอดเวลา ซึ่งความรู้สึกนี้ก็จะทำให้เด็กไม่เฉื่อยชาและอยากเรียนรู้เสมอ และเมื่อเขาไม่หยุดนิ่ง สมองของเขาก็จะได้รับการพัฒนาตลอด -การ์ตูนแนวสืบสวนสอบสวน จะทำให้เด็กได้ใช้สมองขบคิดปริศนาอย่างถี่ถ้วนและรู้จักคิดนอกกรอบด้วย -การ์ตูนแนวเสริมความความรู้ให้การศึกษา แน่นอนว่าเด็กย่อมจะได้ความรู้ที่นำมาใช้พัฒนาทักษะชีวิตเขาได้-การ์ตูนแนวประวัติศาสตร์ จะช่วยให้เด็กได้รับข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ซึ่งประวัติศาสตร์จะทำให้สมองของเด็กรู้จักเรื่องการลำดับเวลา สนใจการเรียนรู้ และการค้นคว้า-การ์ตูนแนวดราม่า หรือโศกนาฏกรรม จะทำให้สมองของเด็กเกิดความจดจ่อกับอารมณ์ตรงนั้น และบางครั้งการที่เด็กร้องไห้ก็จะช่วยลดความเครียดได้เช่นกัน-การ์ตูนแนวต่อสู้ เป็นแนวการ์ตูนช่วยพัฒนาสมองลูกด้านการวางแผน เสริมสร้างกำลังใจให้ฮึกเหิม แต่แนะนำว่าไม่ควรจะเป็นการต่อสู้ที่ฉากโหดร้ายจนเกินไป -การ์ตูนแนวกีฬา จะทำให้เด็กสนใจเรื่องการออกกำลังกายมากขึ้น ซึ่งการออกกำลังกายก็คือการผ่อนคลายสมองอย่างหนึ่ง -การ์ตูนแนวการใช้ชีวิต ที่ให้ข้อคิดหลักปรัชญาอย่างง่าย ๆ ก็จะดีต่อสมองของเด็ก เพราะจะช่วยให้เขาได้ขบคิดและไตร่ตรองเรื่องเหตุผลต่าง ๆ […]

joom April 22, 2021

ปัจจุบันพ่อแม่หลายคนตระหนักถึงความสำคัญของการทำให้ลูกมีทั้งความรู้ มีสติปัญญาที่ดี และต้องมี EQ หรือมีความฉลาดทางอารมณ์ด้วย เพื่อให้เขาเป็นเด็กที่เก่งแต่ขณะเดียวกันก็ต้องใช้ชีวิตได้อย่างดีมีคุณภาพด้วย ดังนั้นมาดูกันว่าคุณจะสามารถ เลี้ยงลูกให้มีEQดี ได้อย่างไรบ้าง ทำไม ? ถึงต้อง เลี้ยงลูกให้มีEQดี EQ (Emotional Quotient) หรือความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นความสามารถในการดำรงชีวิตให้มีความสุขและมีคุณภาพที่ดี ซึ่งการเลี้ยงลูกให้มีEQดีนอกจากจะทำให้ตัวเขามีความสุขแล้ว คนที่แวดล้อมเขาก็จะมีความสุขไปกับเขาด้วย เพราะเด็กที่มี EQ สูงจะเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่ดีมากมาย เช่น รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น ภูมิใจในตนเองแต่ไม่ดูถูกคนอื่น มองโลกในแง่ดี ไม่เครียดง่าย มีอารมณ์ที่มั่นคงไม่ขึ้น ๆ ลงๆ  มีการคิดวิเคราะห์ที่ดีมีเหตุผล รักการเรียนรู้ มีมนุษยสัมพันธ์ คุณจึงควรสร้างลูกน้อยให้เป็นเด็กที่มี EQควบคู่ไปกับ IQ ด้วย วันนี้เราจึงจะมาบอกเทคนิคเลี้ยงลูกให้มีEQดีให้กับทุกท่านได้ทราบกันดังนี้ ให้อิสระในการตัดสินใจ การให้อิสระลูกน้อยในการตัดสินใจ จะช่วยเสริมสร้าง EQ ให้ลูกได้ เนื่องจากเด็กก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ถ้าคุณไม่เริ่มฝึกให้เขาตัดสินใจอะไรเองบ้าง เลือกให้เขาหมดทุกอย่าง เขาก็จะโตมาแบบอยู่ใต้ปีก ไม่กล้าคิดไม่กล้าตัดสินใจ สุดท้ายเขาก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ตามเก่งแต่นำใครไม่เป็น ซึ่งคุณสามารถฝึกให้เขาเริ่มตัดสินใจสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เองได้ […]

joom April 20, 2021

เมื่อลูกค่อย ๆ โตขึ้นจนอยู่ในช่วงเกือบจะเป็นวัยรุ่น ก็อาจเกิดปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ของพ่อแม่และเด็ก เพราะเป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง ดังนั้นถ้าคุณอยากให้ปัญหานี้คลี่คลายก็ควรนำวิธี เลี้ยงลูกแบบเพื่อน นี้ไปลองใช้ดู เลี้ยงลูกแบบเพื่อน เพื่อให้เกิดความไว้วางใจ ลูกที่กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น ควรเลี้ยงลูกแบบเพื่อนเพื่อให้เด็กเกิดความไว้วางใจคุณ เหมือนกับที่เขาวางใจเพื่อนที่โรงเรียน ซึ่งเขาจะสามารถเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้คุณฟังได้อย่างไม่เต็มที่ โดยที่ไม่กลัวเลยว่าคุณจะตำหนิหรือดูถูกเขา ดังนั้นลูกที่กำลังจะเป็นวัยรุ่นของคุณจึงอาจจะเล่าเรื่องความรัก เรื่องที่มีคนมาจีบเขา หรือเรื่องตลก ๆ ของเขากับเพื่อน ๆ ให้คุณฟังได้อย่างไม่เขินอาย หรือแม้แต่ความลับของเขาก็อาจจะไม่ใช่ความลับเมื่อเขาเล่าให้คุณฟัง และคุณยังหาทางป้องกันไม่ให้เรื่องร้ายบานปลายได้ด้วย          ทำความรู้จักกลุ่มเพื่อนของลูก เลี้ยงลูกแบบเพื่อนถ้าพ่อแม่ทำตัวให้เป็นเพื่อนกับลูกวัยรุ่นแล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือ ลูกวัยรุ่นของคุณจะพูดถึงเพื่อนใน กลุ่มเขาให้คุณฟัง ซึ่งคุณก็จะได้ฟังเกี่ยวกับวีรกรรมของแก๊งลูก จนบางครั้งก็จินตนาการหน้าตาออกก่อนที่ จะได้เห็นเพื่อน ๆ ตัวจริงของเขา และรู้ว่าเพื่อนลูกแต่ละคนมีลักษณนิสัยใจคออย่างไร ซึ่งการที่คุณรู้ว่าเพื่อนของเขาเป็นอย่างไร ก็จะช่วยให้คุณได้ประโยชน์มากมาย เช่น เพื่อนที่ดีคุณก็แนะนำลูกว่าควรคบหา เพื่อนที่ไม่ดีที่ชักนำไปในทางไม่งาม ก็ควรบอกลูกว่าให้ควรคบแบบห่าง ๆ จะดีกว่า ทำให้คุณแนะนำลูกได้ว่าหากลูกมีปัญหากับเพื่อนคนนี้จะแก้ไขอย่างไร หรือหาทางป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีงามขึ้น ได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเด็ก การที่เลี้ยงลูกแบบเพื่อนพ่อแม่เป็นเพื่อนกับลูกวัยรุ่นจะช่วยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเด็ก ซึ่งแต่ก่อนคุณอาจจะคิดว่าเราก็เข้าใจลูกดีอยู่แล้ว จนเมื่อคุณได้ทำตัวเป็นเพื่อนลูกวันรุ่นแล้ว คุณจะพบว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่คุณไม่รู้ และเขาเองก็ไม่เคยเล่า […]

joom April 15, 2021

การดูแลสุขภาพผิวหนังให้ลูกน้อย เป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรสนใจ เพราะผิวเด็กในวัยนี้บอบบางมาก และผิวหนังที่มีสุขภาพไม่ดีก็เป็นส่วนที่เชื้อโรคเข้าถึงได้ง่าย ดังนั้นหันมา ปกป้องสุขภาพผิวให้ลูก อันเป็นที่รักของคุณกันเถอะ  แนะนำ เทคนิค ปกป้องสุขภาพผิวให้ลูก ปกป้องสุขภาพผิวให้ลูกจากแดดร้อนแรง-ทาครีมกันแดด สำหรับเด็กเล็กควรใช้ครีมกันแดดสำหรับเด็กโดยเฉพาะ โดยให้เลือกค่า SPF ไม่ต่ำกว่า 30 และอย่าลืมทาทุกครั้งที่เขาออกไปข้างนอก ซึ่งแสงแดดก็คือตัวการร้ายที่ทำให้ผิวอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่าย ดื่มน้ำมาก ๆ เพราะการดื่มน้ำจะช่วยให้ผิวเด็กไม่แห้ง ชุ่มชื้น ชดเชยน้ำที่เสียไปกับเหงื่อ นอกจากนี้การดื่มน้ำให้มากก็จะช่วยป้องกันอาการขาดน้ำ ลดโอกาสในการเป็นฮีทสโตรคได้ใช้ผ้าชุบน้ำประคบผิว ถ้าคุณเห็นว่าผิวของเขาเริ่มแดง ๆ ก็ให้รีบน้ำผ้าชุบน้ำเย็น ๆ ไปประคบผิวก็จะช่วยลดการไหม้ต่อได้ และยังช่วยป้องกันการเป็นไข้ได้ด้วย ปกป้องสุขภาพผิวให้ลูกบรรเทาอาการผิวแห้งแตกให้ลูกน้อย ควรทาครีม โลชั่น หรือเบบี้ออยล์ให้ลูกน้อย เพราะผิวเด็กน้อยจะบอบบางกว่าผู้ใหญ่ถึง 10 เท่า ดังนั้นเมื่อผิวของเขาสัมผัสกับอากาศเย็นก็จะแตกง่ายการอาบน้ำที่อุ่นเกินไปเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวแห้งแตก และผิวเสียสมดุลเนื่องจากชะล้างน้ำมันตามธรรมชาติที่ผิวออกจนเกินไปลองสังเกตว่าสาเหตุที่ผิวหนังลูกแห้งมาจากการอาบน้ำด้วยผลิตภัณฑ์อาบน้ำหรือไม่ ถ้าใช่ก็ต้องลองเปลี่ยนดู ลองให้ลูกน้อยกินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินอีตามธรรมชาติที่ช่วยดูแลผิวให้ชุ่มชื้น เช่น มะม่วงสุก กล้วย มะเขือเทศ สรอว์เบอร์รี อะโวคาโด ปกป้องสุขภาพผิวให้ลูกดูแลผิวแพ้ง่าย แห้งคัน และเป็นผดผื่น สาเหตุที่ทำให้เด็กมีอาการผิวแพ้ง่าย มีมากมาย เช่น เหงื่อของเขาเอง […]

joom April 13, 2021

ถ้าลูกคุณโตพอจะช่วยเหลืองานบ้านได้บ้าง ก็ควรใช้โอกาสนี้ให้เด็กรู้จักทำงานบ้านที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเขา เพื่อฝึกให้เขามีความรับผิดชอบ เป็นการแสดงน้ำใจต่อพ่อแม่ได้ และรู้จักฝึกทักษะในชีวิตประจำวัน ในวันนี้เราจึงมี เทคนิคสอนลูกให้ช่วยงานบ้าน ด้วยความเต็มใจ แบ่งเบาภาระ ด้วยความกระตือรือร้น ให้กับคุณพ่อคุณแม่ทุกๆ ท่าน เทคนิคสอนลูกให้ช่วยงานบ้าน เพื่อแบ่งหน้าที่รับความรับผิดชอบ งานบ้านให้ลูก เด็กส่วนใหญ่ที่เอาแต่เรียนก็มักจะทำงานบ้านไม่เป็น ไม่คิดจะช่วย บ้างก็เอาแต่เที่ยว ไม่สนใจแบ่งเบาภาระหน้าที่ การที่พ่อแม่ทำความเข้าใจกับลูกว่า ลูกควรมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องงานบ้าน เพราะการช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านจะช่วยแบ่งเบาภาระ ช่วยให้พ่อแม่เบาแรง และลูกเองก็ได้ฝึกทักษะในการทำงานบ้าง ต่อไปเมื่อเขาเติบโตก็จะได้รู้จักดูแลตนเองได้ อย่างน้อย ๆ ก็ซักผ้าเอง หุงข้าวเองได้ ไม่ต้องลำบากคนอื่นด้วยเทคนิคสอนลูกให้ช่วยงานบ้านดังต่อไปนี้ อย่าจู้จี้ลูกเรื่องงานบ้าน การที่คุณจู้จี้ขี้บ่นเขาตั้งแต่ก่อนทำงานบ้านจนทำเสร็จ แบบนี้ลูกคงไม่ชอบแน่ เพราะนิสัยของเด็กโดยเฉพาะเด็กโตก็จะไม่ชอบให้ใครมาจ้ำจี้จ้ำไชเหมือนเขาเป็นเด็กเล็ก และการที่คุณบ่นเขามาก ๆ เขาก็จะคิดว่าการทำงานบ้านเป็นเรื่องน่าเบื่อ คุณจึงต้องคอยบังคับเขา ซึ่งบางครั้งเด็กก็จะมีที่งอแงบ้าง ผัดผ่อนไปบ้าง กว่าจะมาทำได้ก็ต้องใช้เวลาสักพัก หากคุณรอสักหน่อย ถ้าไม่นานเกินไปก็อย่าไปเร่งเขามาก หรืออาจกระตุ้นด้วยการเตือน แต่ไม่ใช่กรบ่นในแง่ลบ เขาก็น่าจะรู้หน้าที่และรีบมาทำงานบ้าน ควรสอนลูกทำงานบ้าน ลูก ๆ ควรมีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องงานบ้านจากคุณก่อน เพราะก่อนที่คุณจะให้เขารับผิดชอบงานบ้านใด คุณต้องมั่นใจว่าเขาทำได้ดีพอสมควร คือจะต้องรู้วิธีการที่จะทำ หรือเคยทำมาบ้างแล้ว โดยวิธีการนั้นต้องถูกต้อง […]

joom April 6, 2021

การตักเตือนเด็กก็เป็นอีกสิ่งที่พ่อแม่ต้องระมัดระวังมาก เพราะยิ่งเด็กโตเท่าไร เขาก็จะยิ่งให้ความสำคัญเรื่องหน้าตาในสังคมมาก แม้ว่าคุณจะไม่ได้กล่าวว่า ตำหนิ หรือประจานเขาต่อหน้าใครเลย แต่สำหรับเด็กแล้วเขาจะรู้สึกแรงมากกว่าปกติ และหากทำผิดวิธีก็อาจจะทำให้เขาอับอายจนฝังใจ ไม่เชื่อฟัง และไม่อยากจะคุยกับคุณอีกเลย ดังนั้นคุณก็ควรจะลองนำ เทคนิคการตักเตือนลูก เหล่านี้ไปใช้   แนะนำ เทคนิคการตักเตือนลูก ให้ได้ผล เทคนิคการตักเตือนลูกด้วยการไม่พูดคำเหล่านี้ เมื่อจะตักเตือนลูก เลี่ยงการใช้คำว่าเด็กทำผิด เพราะคำว่าผิดคำเดียวอาจทำให้เด็กบางคนรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำเลวร้ายมาก ซึ่งคุณอาจเลี่ยงเป็นการบอกว่าหนูน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้นะ การกล่าวตักเตือนลูกควรอย่าบอกว่าเขาโง่หรือไม่ฉลาด เพราะเป็นการตอกย้ำว่าคุณไม่เห็นคุณค่าในตัวเขา ซึ่งเขาจะคิดว่าหากเขาทำอะไรโง่ ๆ คุณก็จะไม่รักเขาอย่างนั้นหรือ อย่าบอกว่าเด็กตั้งใจที่จะทำผิดเช่นนั้น เพราะเด็กจะรู้สึกว่าคุณขาดความไว้วางใจในตัวเขา อย่าบอกว่าสิ่งที่เด็กทำไม่มีใครเขาทำกัน เพราะเด็กจะเกิดการเรียนรู้ว่าการที่ทำตัวแปลกแตกต่างจากคนส่วนใหญ่เป็นเรื่องไม่ดีไปเสียหมด ซึ่งความจริงแล้วบางสถานการณ์การทำตัวให้แตกต่างหรือสร้างสรรค์ก็ถือเป็นเรื่องดี   เทคนิคการตักเตือนลูกด้วยเหตุผล อย่าเพิ่งบอกว่าเด็กทำในสิ่งที่ไม่ดี คุณต้องอธิบายเหตุผลก่อนและอย่าลืมบอกถึงผลเสียที่จะตามมาว่าสิ่งนั้นทำให้เกิดเรื่องอย่างไรบ้าง ดีไม่ดีอย่างไร ใครที่ต้องรับผลกระทบกับเรื่องนี้บ้าง การใช้เหตุผลกับเด็กเล็กอาจดูเป็นเรื่องยาก แต่คุณก็ควรอธิบายด้วยวิธีง่าย ๆ ด้วยการยกตัวอย่าง และไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเข้าใจได้ทั้งหมดหรือไม่ เพราะอย่างน้อยสมองของเขาก็จะได้เรียนรู้แล้วว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ประมาณนี้อีกก็ไม่ควรทำแบบที่ผ่านมาเพราะเป็นสิ่งไม่ดี เหตุผลที่ใช้ตักเตือนเด็กเล็กควรแสดงถึงผลที่กระทบกับเขาโดยตรง เพราะถ้าคุณพูดถึงผลกระทบต่อสังคมที่เป็นสเกลใหญ่ ๆ เด็ก ๆ ก็จะไม่ค่อยเข้าใจหรือเกิดการตระหนัก เทคนิคการตักเตือนลูกชมก่อนตักเตือน การชมเขาก่อน หรือชี้จุดดีของเขาก่อนแล้วค่อยตักเตือนภายหลังก็จะช่วยให้หนักกลายเป็นเบาได้ อย่าชมเขาเสียมากมายจนทำให้เขาลืมไปว่าอันที่จริงแล้วสิ่งที่เขาทำมันก็มีส่วนผิด คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทุกท่าน […]

joom April 2, 2021

พ่อแม่บางคนอาจกลุ้มใจที่ลูกเกิดมาพร้อมความถนัดที่ไม่เหมือนใคร คือถนัดซ้าย ทำให้เด็กดูแตกต่างจากคนอื่น และรู้สึกกังวลว่าควรต้องแก้ไขสิ่งนี้เพื่อให้เด็กถนัดขวาแบบคนส่วนใหญ่ แต่ความจริงก็คือ ลูกถนัดซ้าย เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่สวรรค์สร้างมาให้ และคุณจะพบว่าลูกของคุณพิเศษจริง ๆ ทำไม เพราะอะไร ทำให้ ลูกถนัดซ้าย มีหลายทฤษฎี ที่ยังไม่อาจสรุปได้แน่ชัด ถึงเรื่องที่ว่าทำไมลูกถนัดซ้ายแต่เชื่อว่าอาจจะมาจากปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวกำหนด เช่น -เรื่องพันธุกรรม คือหากทั้งพ่อและแม่ หรือคนใดคนหนึ่งถนัดซ้าย ลูกก็มักจะเกิดมาถนัดซ้าย -เชื่อว่ามาจากยีนตัวหนึ่งที่คือ LRRTM1 ซึ่งทำให้ถนัดซ้าย -มีทฤษฎีที่เชื่อว่ามาจากฮอร์โมนเพศชาย “เทสโทสเทอโรน” ที่เข้าสู่ทารกในครรภ์ แล้วไปส่งผลกระทบต่อสมองซีกขวา จึงทำให้เด็กถนัดซ้าย -เชื่อว่าการทำอัลตราซาวนด์เด็กในครรภ์ จะส่งผลให้เด็กมักจะถนัดซ้าย ลูกถนัดซ้ายคือความบกพร่องหรือไม่ อันที่จริงแล้วลูกถนัดซ้ายแต่ร่างกายของเขาจะถูกควบคุมด้วยการทำงานของสมองซีกขวา ดังนั้นจึงเป็นที่น่าสนใจว่าคนที่ถนัดซ้ายไม่น้อยเลยที่โดดเด่นในเรื่องจินตนาการอันสร้างสรรค์ เด็กมักจะมีความสามารถในเชิงศิลปะ มีความจำเป็นเลิศ หรือหากเชี่ยวชาญด้านใดแล้วก็จะทำได้ดีเยี่ยม ดังนั้นในวัยเด็กหากมีการบังคับให้เขาต้องใช้มือขวาเพื่อให้เป็นข้างที่ถนัด ก็อาจจะทำให้เกิดการฝืนธรรมชาติของเด็กได้ แต่ในเด็กบางคนหากมีการฝึกให้เด็กถนัดทั้งสองมือได้โดยไม่รังเกียจเรื่องการมือซ้าย ก็จะช่วยฝึกให้เด็กมีทักษะในการใช้มือ รวมทั้งทักษะด้านอื่น ๆ มากขึ้นด้วย คุณสมบัติเด่นของลูกถนัดซ้าย เชื่อว่าข้อดีของลูกถนัดซ้ายมักจะมีความพิเศษ มากมายหลายอย่าง ดังต่อไปนี้ -มีความอัจฉริยะทางด้านใดด้านหนึ่งเสมอ -จะสามารถทำงานยาก ๆ มีความซับซ้อนได้ค่อนข้างดี -มีความคิดที่รวดเร็ว และยังเป็นเด็กที่คล่องตัว […]